แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พิมพ์งานให้เก่ง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พิมพ์งานให้เก่ง แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พิมพ์งานขั้นเบสิค ตอนที่ 4

เครดิตภาพ : http://www.learnkeyboardtyping.com/keyboard-sides.gif

   เอาละครับ มาถึงคีย์สำคัญที่หลายคนชอบใชักันมากนั้นก็คือคีย์สำหรับตัดแปะ การตัดแปะข้อความเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากอิทธิพลสำคัญของอินเทอร์เน็ต ส่วนมากเมื่อมีการค้นหาข้อมูลที่ต้องการแล้ว ก็จะตัดเอาเฉพาะเนื้อหาส่วนที่ต้องการไปไว้ในโปรแกรมพิมพ์งานเพื่อเซฟไปทำอะไรอย่างอื่นต่อไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ฮือฮากันเป็นระยะ เพราะพวกนักเรียนนักศึกษาสมัยนี้มักจะทำรายงานโดยการตัดเนื้อหาจากอินเทอร์เน็ตไปใช้ในการทำรายงานส่งครู โดยที่ไม่ได้ศึกษาทำความเข้าใจอะไรเลย จึงเกิดการแอนตี้กันขึ้น ทั้งจากฝ่ายครูและก็ฝ่ายนักเรียนที่เห็นว่าการทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้องนั่นแหละ (เอาละ ออกทะเลไปอีกแล้ว) 
  ขั้นตอนของการตัดแปะก็คือ เลือกข้อความที่ต้องการจากเอกสารต้นฉบับ ถ้าเป็นเอกสารที่เปิดในโปรแกรมพิมพ์ข้อความก็ไม่ยาก ใช้วิธีเลื่อนคอร์เซอร์ไปที่หน้าตัวอักษรตัวแรกของข้อความแล้ว กด Shift ค้างไว้ จากนั้นก็กดปุ่มลูกศรขวาค้างไว้ เพื่อให้โปรแกรมเลือกข้อความต่อไปเรื่อยๆ จนจบข้อความตามที่ต้องการ (ส่วนมากใช้ถนัดใช้เมาส์คลิกแล้วลากไปเรื่อยๆ) จากนั้นก็กด Ctrl ค้างไว้แล้วกด C ก็จะเป็นการสั่งให้คอมพ์คัดลอกข้อความเข้าไปไว้ในหน่วยความจำของเครื่องไว้ก่อน (เซียนเมาส์จะใช้คลิกขวาแล้วเลือก Copy หรือ คัดลอก) จากนั้นก็เข้าไปยังเอกสารที่ต้องการแปะข้อความ ซึ่งเปิดไว้แล้วหรือจะเปิดขึ้นมาใหม่ก็แล้วแต่ แล้วเลื่อนคอร์เซอร์(หรือใช้เมาส์คลิก)ไปยังจุดที่ต้องการวางข้อความลง แล้วกด Ctrl ค้างไว้ แล้วกด V (เซียนเมาส์เขาคลิกขวาแล้วเลือก Paste หรือ วาง) ข้อความก็เพิ่มเข้าไปยังจุดที่ต้องการ แค่นี้เองง่ายๆ ถ้าถามว่าใช้ปุ่มกับใช้เมาส์อันไหนดีกว่ากัน มันก็แล้วแต่คนถนัด แต่คนที่ใช้ปุ่มถนัดนี่จะเป็นพวกที่ใช้คีย์บอร์ดคล่อง มันก็เลยมาคู่กับการพิมพ์งานได้เร็วกว่ากันด้วย
   สรุปปุ่มคีย์ลัดก็คือ
   Shift+ลูกศรขวา ใช้เลือกข้อความไปข้างหน้าเรื่อย
   Shift+ลูกศรซ้าย ใช้เลือกข้อความถอยหลัง (ได้มาอีกตัวแล้ว) และในกรณีที่เลือกไปข้างหน้าจนเลยจุดที่ต้องการก็ใช้ถอยกลับมาได้ด้วย
   Ctrl+C ใช้สำหรับคัดลอกข้อความที่เลือกไว้
   Ctrl+X ใช้สำหรับตัดข้อความที่เลือกไว้ ซึ่งจะไปค้างอยู่ในหน่วยความจำเหมือนกัน Ctrl+C ต่างจาก Ctrl+C ตรงที่ข้อความเดิมจะหายไปด้วย ไว้สำหรับตัดต่อเอกสารได้ง่าย
   Ctrl+V ใช้สำหรับวางข้อความที่คัดลอกหรือตัดมาแล้ว โดยที่มีข้อแม้ว่าห้ามไปตัดลอกหรือตัดอะไรอย่างอื่นมาคั่น ไม่เช่นนั้นข้อความที่ตัดหรือคัดลอกมาจะหายไปจากหน่วยความจำไม่สามารถนำมาใช้ได้
  การใช้วิธีการตัดแปะเหมาะสำหรับการปรับแต่งเอกสาร หรือคัดลอกข้อความหรือคำมาแปะในส่วนต่างๆ ของเอกสารเพื่อจะได้ไม่ต้องมาพิมพ์ใหม่อยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่มีการใช้ข้อความหรือคำซ้ำๆ กันในเอกสารเดียวกัน

   นอกจากนี้แล้ว คีย์ลัดสำหรับตัดแปะยังสามารถใช้กับโปรแกรมจัดการไฟล์ได้ด้วย คือในกรณีที่เราต้องการคัดลอกไฟล์จากเครื่องไปใส่ในแฟลชไดร์ฟหรือไดร์ฟอื่นๆ เช่น เราเลือกไฟล์จากแฟลชไดร์ฟ อาจจะไฟล์เดียว หรือหลายๆ ไฟล์ (ใช้วิธีเลือกไฟล์แรกก่อน แล้วกด Ctrl ค้างไว้ จากนั้นก็ คลิกเลือกไฟล์อื่นๆ เพิ่มอีก หรือใช้คีย์ลูกศรเลื่อนไปยังไฟล์ที่ต้องการแล้วกดสเปซบาร์เพื่อเลือกไฟล์เพิ่มก็ได้) แล้วกด Ctrl+C หรือ Ctrl+X แล้วแต่จะใช้คัดลอกหรือตัด จากนั้น ก็เปิดไปยังโฟลเดอร์ที่ต้องการใส่ข้อมูลเข้าไปแล้วกด Ctrl+V เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ

  เห็นไหมครับว่าคีย์ลัดพวกนี้มีประโยชน์มากในการใช้งาน ซึ่งสามารถใช้งานแบบได้ทุกเครื่องทุกระบบเพราะได้มีการกำหนดมาตรฐานกลางไว้เรียบร้อยแล้ว
  เรื่องของคีย์ลัดนี้ยังมีอีกหลายตัวที่ใช้กันบ่อยๆ ตอนนี้ก็จะพูดถึงแค่นี้ก่อน แล้วจะค่อยๆ แทรกเข้ามาในบทความอื่นๆ อีกตามวาระและโอกาส ซึ่งน่าจะมีแทรกอยู่เรื่อยๆ เพราะเป็นวิธีการที่น่าใช้ซึ่งสามารถทำให้เราพิมพ์งานได้เร็วขึ้น พิมพ์งานได้เก่งไม่อายคนอื่นเขา
   แล้วพบกันที่บทความหน้าครับ

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พิมพ์งานขั้นเบสิค ตอนที่ 3


ภาพจาก http://i134.photobucket.com/albums/q95/TheOutcaste/Support/PrintScreenKey1.jpg

   มาว่ากันต่อถึงเรื่องคีย์ลัด ในตอนที่ 3 กันครับ
   มีชุดคีย์อีกชุดหนึ่งที่อยู่เหนือชุดคีย์ลูกศรที่ว่าไปแล้ว ตามภาพจะเห็นว่ามีคีย์อยู่ 9 ปุ่มด้วยกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ในเวลาพิมพ์งานเพื่อให้ทำงานได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น คีย์บอร์ดส่วนมากจะมีการจัดวางคีย์ชุดนี้ไว้เหนือชุดคีย์ลูกศรอย่างที่ว่า แต่ก็อาจจะวางต่ำแหน่งคีย์ไว้ต่างกันบ้าง ไปดูกันเลยว่าแต่ละคีย์ใช้ทำอะไร
   ปุ่มแรกคือ Print Screen/SysRq เป็นปุ่มลัดที่เอาไว้จับภาพบนหน้าจอในขณะที่กำลังทำงานอยู่ เพื่อบันทึกไว้เป็นรูปภาพ ให้สามารถนำไช้กับโปรแกรมอื่นๆ ได้ ไว้สำหรับบันทึกภาพหน้าจอต่างๆ ที่เราต้องการ
   ปุ่ม Scroll Lock สมัยนี้ไม่ค่อยได้ใช้กันแล้ว นิยมใช้กันสมัยดอสรุ่งเรืองโน่นเลย สมัยก่อนเอาไว้ใช้ล็อกชุดปุ่มลูกศร เพื่อสลับโหมดให้สามารถใช้ชุดปุ่มลูกศรในการเลื่อนเคอเซอร์ของเมาส์ได้
   ปุ่ม Pause Break ใช้สำหรับหยุดการทำงานของโปรแกรมในดอส ปัจจุบันแทบไม่ได้ใช้งานกันแล้ว
   สามปุ่มนี้บนคีย์บอร์ดบางรุ่นอาจจะจับไปไว้ด้านบนข้างๆ ปุ่ม F12 ก็มีเหมือนกัน แต่อีก 6 ปุ่มที่เหลือก็ยังจัดให้รวมกันอยู่   
   ปุ่ม Insert ใช้สำหรับในกรณีที่เราต้องการพิมพ์ทับตัวอักษรที่อยู่ข้างหน้า ตามปกติถ้าเราเลื่อนคอร์เซอร์ไปยังจุดต่างๆ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมข้อความอะไรๆ แล้ว เมื่อเราพิมพ์ตัวอักษรลงไปตัวอักษรมันก็จะไปแทรกอยู่ตรงจุดนั้น แต่ถ้ากดปุ่ม Insert ก่อนแล้วพิมพ์ตัวอักษรลงไป ตัวอักษรตัวไหม่ก็จะถูกแทรกเข้าไปพร้อมกับลบตัวอักษรข้างหน้าออกอีกทีละตัวด้วย ถ้าต้องการให้กลับมาอยู่ในโหมดปกติก็กดปุ่ม Insert อีกครั้งก็เป็นอันใช้ได้ เป็นอันว่าปุ่มนี้ก็ใช้สำหรับกรณีที่เราต้องการพิมพ์ทับตัวอักษรที่อยู่ถัดไปนั่นเอง
   ปุ่ม Delete ใช้สำหรับลบตัวอักษรที่อยู่ข้างหน้าทีละตัว เป็นปุ่มที่ใช้งานได้หลากหลาย เพราะในการใช้งานคอมทั่วไป อย่างในการจัดการไฟล์ ปุ่มนี้ก็ใช้สำหรับลบไฟล์ที่เราเลือกไว้นั่นเอง ส่วนในการพิมพ์เอกสารในโปรแกรม สามารถใช้ลบตัวอักษรที่อยู่ถัดไปได้ทีละตัว ถ้าสุดบรรทัดแล้วก็สามารถลบบรรทัด ลบอะไรได้ทุกอย่างที่อยู่ถัดจากคอร์เซอร์ จนกว่าจะไปถึงสิ้นสุดของเอกสารเลยทีเดียว
   ปุ่ม Home ใช้สำหรับเลื่อนคอร์เซอร์ไปที่จุดแรกของบรรทัด ถ้าใช้ปุ่ม Ctrl มาร่วมด้วยคือกด Ctrl+Home ก็จะเป็นการเลื่อนคอร์เซอร์ไปยังจุดแรกสุดของเอกสาร
   ปุ่ม End ก็จะกลับกันกับปุ่ม Home คือใช้สำหรับเลื่อนคอร์เซอร์ไปยังจุดสุดท้ายของบรรทัด ถ้าใช้ Ctrl+End ก็จะเป็นการเลื่อนคอร์เซอร์ไปยังจุดสุดท้ายของเอกสาร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าตรงนั้นจะมีตัวหนังสือหรือไม่เพราะอาจจะมีการกดแท็ปเลื่อนคอร์เซอร์ไปแล้ว หรือกด Enter เลื่อนบรรทัดไปแล้ว โดยที่ยังไม่มีการพิมพ์อักษรอะไรใส่เข้าไปก็ได้ ดังนั้น บางทีจึงอาจจะเห็นว่าเมื่อเลื่อนไปแล้วคอร์เซอร์จะไปอยู่ที่จุดที่ไม่มีตัวอักษรอะไรอยู่ข้างหน้าเลยก็ได้
   ปุ่ม Page Up ใช้สำหรับเลื่อนมุมมองขึ้นไปข้างบน (หรือถอยหลัง) ครั้งละ 1 หน้า อันนี้ไม่เกี่ยวกับคอร์เซอร์ของเมาส์นะครับเป็นเพียงแต่การเลื่อนมุมมองเท่านั้น คอร์เซอร์ยังอยู่ที่เดิม ถ้าเลื่อนหน้าไปแล้ว อยากเลื่อ่นคอร์เซอร์ไปยังจุดใดในหน้านั้นก็ต้องชี้เมาส์พอยต์ไปกดที่จุดที่ต้องการอีกทีหนึ่ง
   ปุ่ม Page Down ก็กลับกันกับ Page Up คือเลื่อนมุมมองไปข้างล่าง (หรือเดินหน้า) ครั้งละ 1 บรรทัด ถ้าเลื่อนไปเรื่อยๆจนถึงหน้าสุดท้ายก็จะเลื่อนต่อไปไม่ได้อีก

   ตามที่ว่ามาก็เป็นปุ่มที่ใช้กันเป็นหลักในการพิมพ์เอกสารในโปรแกรมต่างๆ ซึ่งถ้าคุณฝึกทักษะให้สามารถใช้ให้คล่องแคล่วดีแล้ว การพิมพ์งานก็เป็นเรื่องชิลๆ ไม่น่าหนักใจแต่ประการใด (แต่เรื่องขี้เกียจเป็นเรื่องของอารมณ์ไม่เกี่ยวกับทักษะนะครับ)
   ยังมีตอนสุดท้ายอีกหนึ่งตอนสำหรับเรื่องปุ่มลัด ซึ่งเป็นเทคนิคสุดยอดอีกประการหนึ่งที่จะทำให้คุณเลื่อนขั้นไปเป็นเซียนได้ โปรดติดตามตอนต่อไป

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พิมพ์งานขั้นเบสิค ตอนที่ 2

ภาพจาก http://www.clickykeyboard.com/_ebay/ibm_55323685l-001/ibm_553236475l-003.jpg

  ตอนที่แล้วว่าไปถึงเรื่องเบสิคขนานแท้ของการพิมพ์งาน ซึ่งเป็นหลักเบื้องต้นจากการพิมพ์สัมผัสของการใช้พิมพ์ดีดนั่นเอง
   ตอนนี้เราก็จะมาต่อถึงคีย์ที่ไม่มีในพิมพ์ดีดกันบ้าง โดยจะกล่าวถึงคีย์ที่ใช้ในการพิมพ์ทั่วไปก่อนนะครับ
   คีย์ Shift มีความหมายเหมือนกับปุ่มยกแคร่ของพิมพ์ดีด เนื่องจากพิมพ์ดีดมีการออกแบบที่มีตัวพิมพ์สองชุดโดยใช้แคร่พิมพ์ชุดเดียวกัน เพื่อให้เพียงพอกับจำนวนตัวอักษรที่มีใช้งาน สำหรับปุ่มยกแคร่ในภาษาไทยก็จะเป็นการเปลี่ยนไปใช้ชุดอักษรตัวบนของคีย์ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ใช้สำหรับการพิมพ์ตัวอักษรใหญ่ในกรณีที่ขึ้นประโยคใหม่หรือคำศัพท์ที่ใช้เป็นคำนามนั่นเอง
   คีย์ Caps Lock คือการล็อคคีย์ยกแคร่ค้างไว้เพื่อพิมพ์อักษรแถวบนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะยกเลิกการล็อก ในพิมพ์ดีดก็จะมีระบบเฟืองล็อกแคร่ได้เหมือนกัน แต่ในคอมพ์ล็อกด้วยระบบดิจิตอลจึงดูมีลักษณะไม่เหมือนกัน
   แล้วก็คีย์ที่สำคัญอีกคีย์หนึ่งก็คือคีย์สำหรับเปลี่ยนภาษา ตามธรรมดาคนที่ใช้คอมพ์ส่วนมากจะคุ้นเคยกับการใช้คีย์ ตัวหนอน (Tilde) สำหรับการสลับภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ (หรือภาษาอื่นๆ ที่ตั้งไว้) ทั้งนี้ก็เนื่องจากในวินโดวส์รุ่นก่อนๆ ของไมโครซอฟต์ (น่าจะเป็นรุ่น 95) ได้กำหนดให้คีย์นี้เป็นคีย์สำหรับเปลี่ยนภาษาของแป้นคีย์บอร์ด แต่ภายหลังได้มีการกำหนดมาตรฐานในการใช้คีย์บอร์ดขึ้นให้มีรูปแบบเป็นมาตรฐานเดียวกัน ได้ตกลงกันว่าใช้ปุ่ม Alt+Shift เป็นปุ่มสำหรับเปลี่ยนภาษา (หมายถึงกด Alt กับ Shift พร้อมกัน หรือกด Alt ค้างไว้แล้วกด Shift ก็ใช้ได้ หรือกด shift ค้างไว้แล้วกด Alt ก็ใช้ได้เหมือนกัน ยิ่งพูดยิ่งงงอะดิ 555) อันนี้เป็นมาตรฐานสากลที่เขากำหนดไว้สำหรับใช้กับระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ทุกระบบปฏิบัติการนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องที่ใช้ไมโครซอฟต์วินโดวส์ หรือเครื่องแม็ค หรือเครื่องที่ใช้ลีนุกซ์ก็ใช้มาตรฐานเดียวกัน แต่ไม่ว่าระบบปฏิบัติการไหนก็สามารปรับแต่งให้ใช้คีย์อื่นๆ มาเป็นคีย์สำหรับสลับภาษาคีย์บอร์ดได้ทั้งนั้นแหละ ดังนั้น จึงปรากฎว่าส่วนมากก็ยังตั้งให้ใช้ปุ่มตัวหนอนเป็นปุ่มสำหรับสลับภาษากันอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าวันไหนเกิดคุณไปใช้เครื่องของคนอื่นแล้วกดปุ่มตัวหนอนสลับภาษาไม่ได้ก็ลองใช้ Alt+Shift ดูนะครับ แล้วก็อย่าไปเถียงเขาละว่าเขาตั้งค่าอะไรไว้ผิดหรือเปล่า เพราะค่ามาตรฐานสากลเขากำหนดกันมาไว้อย่างนี้แล้ว บางคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องไปตั้งมาตรฐานให้เป็นตัวอื่น ไม่ใช้ตัวเดิมไปเลยล่ะ หาคำตอบมาได้ว่า เนื่องจากตัวอักษรตัวหนอนนั้นเขาใช้ในการเขียนโปรแกรมกันอยู่น่ะสิครับ มันไม่ใช่ตัวอักษรที่โผล่มาสำหรับเป็นปุ่มเปลี่ยนคีย์มาตั้งแต่แรกแล้ว ในวินโดวส์ของไมโครซอฟต์อาจจะไม่ค่อยมีการใช้เท่าไหร่ แต่ในระบบอื่นเขาก็จำเป็นต้องใช้กันทั้งนั้น ดังนั้นจึงต้องกำหนดปุ่มอื่นเป็นมาตรฐ่านสากลแทนอย่างทีเห็น
   เอ้าเลี่ยวเข้าป่าเข้าดงไปนานแล้ว กลับมาว่าถึงเเรื่องคีย์กันต่อนะครับ
   ปุ่มต่อไปนี้เป็นปุ่มสำคัญที่ใช้กันเป็นทุกคนก็คือปุ่ม Enter อันนี้แม้แต่เซียนเมาส์ถ้าหัดใช้ปุ่มนี้ให้คล่อง คุณจะลืมเมาส์ไปเลยก็ได้ ปุ่ม Enter นี้เรียกกันในแวดวง PC คือเครื่องที่ใช้ไมโครซอฟต์วินโดวส์นะครับ ถ้าเป็นยูนิกซ์อย่างเครื่องแม็คหรือลีนุกซ์เขาเรียกปุ่มนี้ว่าปุ่ม "Return" เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมีใครบอกว่าให้กดปุ่ม Return ก็จำให้มั่นไว้เลยว่าก็ปุ่มอันเดียวกันกับปุ่ม Enter นั่นแล สมัยก่อนเค้าเอาไว้สั่งงานกันครับ เพราะใช้คอมแบบที่เป็นระบบพิมพ์คำสั่งกัน (สมัยนี้ก็ยังใช้อยู่ โดยเฉพาะในวงการยูนิกซ์) พอพิมพ์คำสั่งเสร็จก็กด Enter เพื่อให้คอมพ์ทำตามคำสั่งที่เราพิมพ์ไว้นั่นแหละ ในการพิมพ์งานก็เป็นการขึ้นบรรทัดใหม่ เหมือนกันปัดแคร่ขึ้นบรรทัดของพิมพ์ดีดนั่นแอง โดยกดครั้งหนึ่งก็ขึ้นบรรทัดใหม่ให้หนึ่งบรรทัด เพราะฉะนั้นถ้ากดซ้ำๆ กันหลายครั้งโปรแกรมก็จะขึ้นบรรทัดใหม่ไปเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่กด เอาไว้สำหรับเว้นว่างหน้ากระดาษนั่นแหละครับ  ส่วนการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะในการเล่นเน็ตเวลาจะเสิร์ชหาข้อมูลในกูเกิล พอพิมพ์คำศัพท์เสร็จก็กด
Enter เลย จะทำให้ประหยัดเวลาไม่ต้องมาคลำหาเมาส์ไปเลื่อนหาปุ่มต่างๆ ซะให้ยาก
   เอ้า  มาซะตั้งยาว คงต้องไปต่อภาคสามกันอีกครั้งสำหรับเรื่องปุ่มๆ นี่นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พิมพ์งานขั้นเบสิค

ภาพประกอบจาก http://www.mostsupplies.co.za/web/images/modules/catalogue/stationery/comp%20consumables/computer_keyboard_keys.jpg
*************************
 
 ก่อนจะเข้าไปสู่การใช้งานโปรแกรม ก็มีคำแนะนำอย่างหนึ่งว่าในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น ถ้าคุณคล่องเบสิคหรือทักษะขั้นต้นของคอมพิวเตอร์แล้ว คุณจะสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้คล่องแคล่วไปทุกเครื่อง โดยที่ไม่ต้องสนว่าคุณกำลังใช้โปรแกรมอะไรอยู่ นอกจากว่าโปรแกรมที่ว่ามันเป็นโปรแกรมเฉพาะทางที่ต้องเรียนรู้ในขั้นสูงกันจริงๆ เท่านั้น
   เบสิคที่ว่าก็คือการใช้คีย์บอร์ดให้คล่อง อาจจะมีคนถามแย้งว่าฟังดูเหมือนมันง่ายๆ แค่นั้นเองเหรอ แค่คีย์บอร์ดเนี่ยนะ คนที่พิมพ์สัมผัสได้ก็ใช้คอมได้คล่องแล้วสิ  ตอบได้เลยว่า แค่พิมพ์สัมผัสมันก็เป็นแค่ทักษะอย่างหนึ่งเท่านั้น คำว่าใช้คีย์บอร์ดให้คล่องหมายถึงคุณต้องรู้จักใช้สิ่งที่เรียกกันว่า คีย์ลัด หรือ hotkey ซึ่งเป็นการใช้คีย์บอร์ดในการสั่งงานโปรแกรมในคำสั่งต่างๆ
    ปัจจุบัน คนใช้คอมพ์ส่วนมากจะติดเมาส์กันไปหมด อะไรๆ ก็คลิกๆๆๆๆๆๆๆ ทำให้ทักษะการใช้คีย์บอร์ดมีคนที่ใช้เป็นยังไม่มากพอสมควร ต้องคนที่สนใจใฝ่รู้จริงๆ ถึงจะรู้จัก
    เริ่มต้นจากคีย์พื้นๆ ก่อน อย่างแรกคือคีย์ลูกศรขึ้น ลง ซ้าย ขวา นั้นแหละ ธรรมดาก็รู้ๆ กันอยู่เพียงแต่เราไม่คิดว่ามันเป็นคีย์ลัดอะไร เราใช้ในการเลื่อนคอร์เซอร์ในการแก้ไขตัวอักษร โดยเลื่อนไปข้างหน้าข้างหลังทีละตัวอักษร หรือเลื่อนขึ้นลงทีละบรรทัดเพื่อไปลบหรือแก้ไขข้อความหรือตัวอักษรที่ต้องการได้ อันนี้ใช้คล่องกันอยู่แล้ว
    ต่อมาก็คีย์ Backspace คือไม่รู้ภาษาไทยเรียกอะไรส่วนมากก็เรียกทับศัพท์กันไปเลย คือคีย์ที่เป็นลูกศรกลับหลังเหมือนกันกับคีย์ลูกศรซ้าย แต่ไม่ได้อยู่รวมกับคีย์สี่ตัวที่ว่ามาแล้ว เป็นคีย์ลูกศรกลับหลังที่อยู่ข้างๆ คีย์อักษรตัว ข หรือ \ ถ้าใครเคยใช้พิมพ์ดีดจะรู้ว่าคีย์นี้ในพิมพ์ดีดใช้ในการถอยหลังไปยังอักษรที่ต้องการ แล้วลบด้วยปากกาลบคำผิดก่อนจะพิมพ์ตัวอักษรเข้าไปใหม่ แต่ในแป้นคอมพ์ใช้สำหรับลบตัวอักษรถอยหลังได้ทีละตัว ใช้ในกรณีที่เราพิมพ์ผิดแล้วต้องการลบ ถ้าเป็นข้อความที่เราเพิ่งพิมพ์ก็กดลบได้เลย แต่ถ้ามันเลยมาไกลก็กดกกคีย์ลูกศรซ้ายในชุดคีย์ลูกศรสี่ตัวนั่นแหละ ถอยหลักไปที่ละอักษรเพื่อไปยังจุดที่สามารถลบตัวอักษรที่ต้องการได้ หรือจะเอาเมาส์เลื่อนคอร์เซอร์ไปยังจุดที่ต้องการก็ไม่เป็นการทำผิดแต่ประการใด แต่แนะนำว่าใช้คีย์ลูกศรให้คล่องๆ ไว้แหละดีแล้ว เผื่อวันดีคืนดีเมาส์มันรวนจะได้ไม่ต้องเสียอารมณ์
    คีย์ต่อมาที่ใช้กันบ่อยๆ ก็คือคีย์ TAB หรือแท็ป ใช้สำหรับเลื่อนย่อหน้า แต่ใช้ได้กับโปรแกรมพิมพ์งานเท่านั้นนะครับ อย่างตอนที่เขียนบล็อกอยู่นี่ใช้แท็ปไม่ได้เพราะฟังค์ชันโปรแกรมไม่รองรับ ในโปรแกรมพิมพ์งานทั่วไปก็มีการตั้งแท็ปไว้แล้วโดยอัตโนมัติ ของเวิร์ดน่าจะแท็ปละ 1 ซม. ถ้าไม่ไปตั้งใหม่มันก็จะตั้งอย่างนั้นทั้งเอกสารนั่นแหละ แต่ถ้ามีการตั้งแท็ปเยอะๆ เนี่ยมันจะมั่วไปหมด เพราะฉะนั้น เวลาพิมพ์เอกสารจริงๆ ก็อย่าพยายามตั้งแท็ปตามใจตัวเองมากนัก มันจะมีผลในตอนที่เรามาแก้เอกสารที่หลังนี่แหละ รับรองได้นั่งกุมหัวอยู่ทั้งวันแน่
    อีกคีย์หนึ่งที่ใช้เป็นทุกคนคือคีย์ Space Bar ภาษาพิมพ์ดีดเรียกว่า คันยาว เพราะมันยาวกว่าคีย์อื่น ในพพิมพ์ดีดมีคีย์นี่แหละที่ไม่เท่ากับคีย์อื่นที่มีขนาดเท่ากันหมด ถึงแม้ในแป้นพิมพ์คอมพ์มีคีย์เพิ่มมาอีกหลายขนาด แต่ก็ยังเป็นคีย์ที่ยาวกว่าเพื่อนอยู่ดี อันนี้สำหรับเว้นวรรคข้อความ โดยเว้นวรรคเคาะละตัวอักษร ส่วนแป้นแท็บจะเว้นวรรไปตามแท็ปที่ตั้งไว้แล้ว
   คีย์พวกนี้ที่ว่ามา นอกจากคีย์ลูกศรสี่ทิศที่พูดถึงตอนแรกสุด ที่เหลือเป็นคีย์ที่ใช้กับพิมพ์ดีดทั่วๆ ไปมาตั้งแต่ต้น ส่วนมากก็ใช้เหมือนพิมพ์ดีด ที่จะมีแปลกไปนิดก็คีย์ถอยหลังนั่นแหละที่ใช้ไม่เหมือนกัน
    ตอนนี้ก็พักไว้ก่อน  ตอนหน้าจะพูดถึงคีย์อื่นๆ ที่น่าใช้บนแป้นพิมพ์กันต่อ